2018-05-06
ความพยายามของญี่ปุ่นในการให้พนักงานทำงานน้อยลงและไม่ต้องเข้าออฟฟิศ
ความพยายามของญี่ปุ่น …การทำงานสไตล์ญี่ปุ่นที่เราได้ยินคุ้นหูคือ “ทำงานหนัก” “เครียด” “ทำจนตาย” “เครียดมากจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า” ฯลฯ แต่ตอนนี้ดูเหมือนการทำงานหนักแบบเดิมจะเริ่มเปลี่ยนไปโดยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแล้ว
เล่าโดย : พิชชารัศมิ์ www.marumura.com
การทำงานสไตล์ญี่ปุ่นที่เราได้ยินคุ้นหูคือ “ทำงานหนัก” “เครียด” “ทำจนตาย” “เครียดมากจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า” ฯลฯ แต่ตอนนี้ดูเหมือนการทำงานหนักแบบเดิมจะเริ่มเปลี่ยนไปโดยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแล้วค่ะ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 กรกฏาคม) รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกแคมเปญรณรงค์ให้พนักงานทำงานจากที่บ้านโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ถือเป็นการรณรงค์ช่วง 3 ปีก่อนการจัดการแข่งขันโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียวพอดิบพอดี คือในวันที่ 24 กรกฏาคม 2020 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางมาโตเกียวถึง 40 ล้านคนในช่วงนั้น คิดดูนะคะว่ารถไฟจะแออัดขนาดไหน
การรณรงค์ “การทำงานทางไกล” ก็เพื่อจะผลักดันให้บริษัทและองค์กรทั่วประเทศเห็นความสำคัญของการทำงานจากบ้าน ร้านกาแฟ หรือจากออฟฟิศสาขาอื่นๆเพื่อเป็นการลดความแออัดยัดเยียดของรถไฟโดยเฉพาะในช่วงเช้า
แคมเปญดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของนายกฯชินโซะ อาเบะ ที่พยายามจะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานหนักของญี่ปุ่น เพราะในอดีตการทำงานหนักและทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานอาจมีผลทำให้งานสำเร็จ พนักงานจึงมักถูกคาดหวังให้ทำงานจนดึกดื่นและไม่มีเวลาให้ครอบครัว จนกลายเป็นโรคบ้างานส่งผลให้เกิดความเครียดจนเจ็บป่วยหรือถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องมาจากทำงานหนักเกินไป แต่ในปัจจุบันการทำงานลักษณะดังกล่าวก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงานเสมอไป รัฐบาลจึงพยายามที่จะจำกัดการทำงานล่วงเวลาและสร้างสภาวะการทำงานที่ดีขึ้นเพื่อลดปัญหาดังกล่าว
พนักงานกว่า 60,000 คนในญี่ปุ่นจากหน่วยงานมากกว่า 900 แห่งทั้งจากภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานบริหารมหานครโตเกียว Japan Times บริษัท NTT Data บริษัทคาลบี้ ฯลฯ ได้เข้าร่วมแคมเปญ “การทำงานทางไกล”
สำนักงานบริหารมหานครโตเกียวกว่าพันคนเริ่มทำงานจากบ้านหรือจากออฟฟิศอื่นๆที่มีสี่แห่งในโตเกียว “เราต้องการการทำงานแบบใหม่ ที่มีความเครียดน้อยลง และมีชีวิตที่ดีขึ้น” เจ้าหน้าที่กล่าว
คาลบี้ เป็นอีกบริษัทที่ร่วมโครงการดังกล่าว พนักงานกว่า 270 คนทำงานที่บ้านในวันจันทร์ที่ผ่านมา “การไม่ต้องเดินทาง ทำให้พนักงานมีเวลาทำอย่างอื่นเช่น งานบ้าน” โฆษกของบริษัทคาลบี้กล่าว
กระทรวงมหาดไทยญี่ปุ่นผู้จัดแคมเปญนี้หวังว่าการรณรงค์ครั้งนี้จะเป็นการกระตุ้นให้พนักงานคุ้นเคยกับการทำงานทางไกล เพราะในปี 2016 มีบริษัทเพียง 13.3% อนุญาตให้พนักงานทำงานจากบ้านได้ เป้าหมายคือการเพิ่มเป็น 30% ในปี 2020 ที่น่าแปลกคือ
จากการสำรวจผลผลิตการทำงานขององค์กรที่ให้พนักงานทำงานจากบ้านได้กลับสูงกว่าองค์กรที่ไม่มีนโยบายดังกล่าวถึง 1.6 เท่า Sanae Takaichi รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การทำงานทางไกลจะส่งผลดีโดยรวมเพราะพนักงานยังจะสามารถทำงานได้แม้ว่าอาจมีธุระในการดูแลเด็กหรือคนป่วยที่บ้าน และหวังว่าคนจะทำงานทางไกลมากขึ้นถึงแม้ว่ากีฬาโอลิมปิกจะจบลงแล้วก็ตาม
ดิฉันเองเคยได้รับอนุญาตให้ทำงานจากบ้านได้เดือนละครั้ง หรือหากมีความจำเป็น เช่น นัดช่างมาซ่อม หรือต้องดูแลใครที่บ้าน ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆค่ะ คือสามารถลุกจากเตียง และนั่งทำงานได้เลย หรือจะนั่งพาดขา ซดข้าวต้มไป จิบกาแฟสบายอารมณ์อย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องมีใครมารบกวน หากนานๆได้ทำสักทีก็จะให้ความรู้สึกดีมากค่ะ
เรื่องโดย : พิชชารัศมิ์ www.marumura.com
สามารถติดตามเรื่องราวแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจด้วยความรักในหนังสือ “Japan Success ธุรกิจสำเร็จได้ด้วยใจรัก” ตามแผงหนังสือชั้นนำ และ สามารถพูดคุยสื่อสารกับพิชชารัศมิ์ได้ที่ FB: Life Inspired by พิชชารัศมิ์
หากชอบบทความของเรา สามารถติดตาม Facebook FanPage ของเราได้