เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนกันยายนที่ประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มมีอากาศเย็น ในเดือนนี้มีดอกไม้ดอกหนึ่งที่มักจะบานในช่วงวันเข้าฤดูใบไม้ร่วง นั่นก็คือดอก "ฮิกันบานะ" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า red spider lily มีสีแดงเข้ม ชาวญี่ปุ่นเรียกว่าดอกไม้นี้คือดอกไม้แห่งความตาย ในบทความนี้เราจะมาแนะนำดอกฮิกันบานะให้ทุกคนได้รู้จักกัน
ดอกฮิกันบานะมีลักษณะอย่างไร
ดอกฮิกันบานะเป็นดอกไม้ที่มีสีแดงเข้ม ในบางทีก็มีสีขาว และสีน้ำเงิน ลักษณะของดอกนั้นเป็นดอกที่เมื่อบานแล้วจะมีกลีบยาวออกมาเป็นเป็นแฉก บริเวณตรงกลางจะมีเกสรยาวออกมาจากดอก ลำต้นสีเขียวเล็ก สูงประมาณ 1 เมตร ด้วยความที่ทั้งกลีบและเกสรนั้นยาวโค้งงอน เมื่อมองไกลๆจะเหมือนกับแมงมุม ชื่อภาษาอังกฤษจึงมีชื่อว่า red spider lily นั่นเอง
ดอกฮิกันบานะบานช่วงไหน
ดอกฮิกันบานะจะบานในช่วงวันเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง คือช่วงกลางไปจนถึงปลายเดือนกันยายน หรือที่เรียกว่าวันวสันตวิษุวัตซึ่งมีระยะเวลา 7 วัน ในระยะเวลา 7 วันนี้คนญี่ปุ่นจะเรียกว่า "ฮิกัน(彼岸)" เป็นช่วงเวลาการไหว้บรรพบุรุษ เพราะเป็นช่วงเวลาที่โลกนั้นโคจรเข้าใกล้กับโลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นความเชื่อของศาสนาพุทธโดยมีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย ดอกไม้ดอกนี้มักจะบานในช่วงนี้พอดีผู้คนจึงเรียกมันว่าดอกฮิกันบานะ(วันไหว้บรรพบุรุษ+ดอกไม้)
ชาวญี่ปุ่นเรียกมันว่าเป็น "ดอกไม้แห่งความตาย"
เพราะนอกจากดอกฮิกันบานะจะบานในช่วงวันเยี่ยมไหว้หลุมศพบรรพบุรุษแล้ว ดอกไม้นี้ยังมีความหมายในภาษาดอกไม้ว่า "ความทรงจำที่โศกเศร้า" "ยอมแพ้" "โดดเดี่ยว" ด้วยสีแดงเข้มของมันแม้จะดูมีสเน่ห์แต่ก็ดูคล้ายกับเลือดที่สวยงามด้วย และลักษณะที่คล้ายกับแมงมุมยิ่งทำให้ดอกไม้นี้ดูลึกลับและทำให้โยงไปถึงใกล้เคียงกับความตาย
ในอดีตดอกไม้นี้ถูกนำไปวางประดับไว้ตามสุสานหรือตามทุ่งนาเพื่อใช้ในการไล่แมลง เพราะว่าดอกไม้สีแดงแสนสวยนี้มีพิษนั่นเอง เป็นดอกไม้ที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดอกฮิกันบานะมี 2 ชื่อ
ดอกฮิกันบานะแม้ว่าจะเป็นชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไป แต่ที่จริงแล้วในบางพื้นที่เรียกดอกไม้ดอกนี้ว่า "มังจูชาเกะ(曼珠沙華)" เป็นรากศัพท์มาจากภาษาสันกฤต ซึ่งเป็นชื่อเรียกดอกไม้จากสวรรค์ตามพระไตรปิฎกในศาสนาพุทธ ซึ่งมีความหมายว่าดอกไม้น่ายินดี เป็นดอกไม้ที่มาจากสวรรค์และใช้โปรยในงานมงคล โดยเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความมงคลและน่ายินดีต่างจากชื่อ "ฮิกันบานะ(彼岸花)" โดยสิ้นเชิง
สวนฮิกันบานะที่ใช้ชื่อ "มังจูชาเกะ"
ที่สวนแห่งนี้มีชื่อว่า Kinchakuda Manjushake Park(巾着田曼珠沙華公園) ที่สวนแห่งนี้มีดอกฮิกันบานะมากถึง 5 ล้านต้น ในพื้นที่ 22 เฮคเตอร์ ว่ากันว่าที่สวนแห่งนี้เป็นสวนที่มีต้นฮิกันบานะ(มังจูชาเกะ) ใหญ่ที่สุด และคนในพื้นที่เรียกดอกนี้ว่า มังจูชาเกะอีกด้วย ด้วยลักษณะของสวนที่มีลักษณะคล้ายกับถุงคินจะคุ(巾着袋) ถุงที่มีเชือกมันปากถุงแบบญี่ปุ่น โดยมีแม่น้ำล้อมรอบสวนดอกฮิกันบานะและทุ่งนา สวนนี้จึงมีชื่อ Kinchakuda(巾着田) Manjushake(曼珠沙華) ดอกมังจูชาเกะจะบานในช่วงกลางถึงปลายเดือนกันยาซึ่งเป็นช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงเหมือนเดิมทุกปี ไม่ค่อยขึ้นกับสภาพอากาศเหมือนดอกไม้ชนิดอื่นนัก
ในทุกปีที่สวนจะมีการจัดงานเทศกาลดอกมังจูชาเกะ โดยในปี 2023นี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม แม้วันฝนตกดอกมังจูชาเกะก็ยังสวย และอาจจะสวยเป็นพิเศษด้วย ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นยังไงก็ลองแวะมาชมความงามกันได้
ค่าเข้า: 500 เยน
เวลาทำการ 9:00-16:30
การเดินทาง: นั่งรถจากสถานี Ikebukuro(池袋) มาต่อรถที่สถานี Hanno(飯能) ลงยังสถานี Koma(高麗) แล้วเดินมายังสวนอีกโดยประมาณ 10 นาที
ระยะเวลาเทศกาล: 16 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม 2023
เว็บไซต์ทางการ: https://hidakashikankou.gr.jp/manjushage/
Google Map: https://maps.app.goo.gl/ro1XeDA8TJZKSZfS7
เป็นอย่างไรกันบ้างกับดอกฮิกันบานะหรือดอกมังจูชาเกะ ได้รู้จักกับดอกไม้สีแดงแสนสวยประจำเดือนกันยายนของญี่ปุ่นกันไปแล้ว สำหรับทุกคนให้ความหมายกับดอกไม้นี้ว่าอย่างไรกันบ้างเอ่ย อย่างไรก็ตามหากคุณมีโอกาสได้มาญี่ปุ่นในช่วงเดือนกันยายนลองสังเกตุดอกไม้สีแดงที่บานอยู่ตามข้างทางดูนะ เพราะดอกฮิกันบานะนั้นจะแอบบานอยู่ในทุกที่ แม้จะแค่ดอกเดียวก็ตาม
★ คูปองส่วนลดในการช็อปปิ้งญี่ปุ่น หรือโปรแกรมแปลภาษาสินค้าต้อง IKIDANE App★iOS/Android
★IKIDANE NIPPONLINE@★หากชอบบทความของเรา สามารถติดตามFacebook FanPageของเราได้